เลขที่อนุมัติ ฆสพ.สบส. 7542/2565

ระวังพฤติกรรมอาจทำลายตับอยู่

ระวังพฤติกรรมอาจทำลายตับอยู่

ตับ เป็นอวัยวะเงียบที่ทำหน้าที่สำคัญมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการล้างสารพิษ เปลี่ยนอาหารเป็นพลังงาน และควบคุมระดับไขมันในร่างกายแต่ในขณะเดียวกัน ตับก็เป็นอวัยวะที่ “ไม่ร้องขอความช่วยเหลือ” จนกว่าจะมีปัญหาเรื้อรังเกิดขึ้น สิ่งที่น่ากังวลคือ หลายพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของเราอาจเป็นตัวการทำลายตับแบบช้า ๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว มาดูกันว่ามีพฤติกรรมไหนที่ควรหลีกเลี่ยงหรือปรับเปลี่ยน ก่อนที่ตับจะอ่อนแอจนเกินแก้

นอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ

ช่วงเวลาระหว่าง 22.00 – 02.00 น. คือช่วงที่ตับทำหน้าที่ซ่อมแซมและฟื้นฟูตัวเอง หากเข้านอนดึกเป็นประจำ ตับจะไม่มีโอกาสฟื้นฟูเต็มที่ ส่งผลให้ระบบล้างพิษทำงานได้ไม่ดี และเกิดการสะสมของสารพิษในร่างกาย

ดื่มแอลกอฮอล์บ่อย

แม้จะดื่มในปริมาณน้อย หากดื่มเป็นประจำ ตับจะต้องทำงานหนักขึ้นในการกำจัดแอลกอฮอล์ออกจากร่างกาย ในระยะยาว อาจนำไปสู่ภาวะไขมันพอกตับ ตับอักเสบ หรือแม้แต่ตับแข็งได้

รับประทานอาหารไขมันสูงและแปรรูป

ของทอด อาหารมัน เนื้อสัตว์แปรรูป น้ำตาลสูง และสารปรุงแต่ง ล้วนเพิ่มภาระให้ตับในการเผาผลาญและล้างพิษ
การกินอาหารเหล่านี้บ่อยครั้งอาจทำให้เกิดภาวะ ไขมันพอกตับที่ไม่เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ (NAFLD) ซึ่งกำลังเป็นโรคยอดฮิตในคนรุ่นใหม่

ใช้ยาโดยไม่จำเป็นหรือไม่อ่านฉลาก

ยาพาราเซตามอล ยาแก้ปวดบางชนิด และสมุนไพรบางประเภท หากใช้ผิดวิธีหรือในปริมาณมาก อาจส่งผลให้ตับอักเสบโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะเมื่อใช้ต่อเนื่องโดยไม่ปรึกษาแพทย์

เครียดสะสม ไม่ผ่อนคลาย

ความเครียดเรื้อรังทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลในระดับสูง ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของตับและระบบเผาผลาญ รวมถึงส่งผลทางอ้อมต่อพฤติกรรมการกิน การนอน และอารมณ์ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ตับทำงานหนักขึ้น

สัญญาณเตือนที่ไม่ควรมองข้าม

  • เหนื่อยง่ายโดยไม่มีสาเหตุ
  • อาหารไม่ย่อย ท้องอืดบ่อย
  • ผิวหมอง มีผื่นหรือสิวเรื้อรัง
  • อารมณ์แปรปรวน สมาธิสั้น
  • ขับถ่ายไม่ปกติ

 

แม้ตับจะเป็นอวัยวะที่ทำงานได้อย่างเงียบเชียบและทนทาน แต่หากถูกทำร้ายทุกวันจากพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็อาจนำไปสู่โรคร้ายในอนาคตได้ การปรับพฤติกรรมบางอย่างตั้งแต่วันนี้ เช่น เข้านอนให้ไว ลดแอลกอฮอล์ กินอาหารสะอาด และลดความเครียด คือวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยให้ตับแข็งแรง และสุขภาพโดยรวมดีขึ้นอย่างยั่งยืน