HIV และ AIDS ไม่ใช่คำเดียวกัน
แม้ทั้งสองคำมักถูกพูดถึงพร้อมกัน แต่ในความจริงแล้ว HIV และ AIDS คือคนละเรื่อง
- HIV (Human Immunodeficiency Virus) คือไวรัสที่ทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวในร่างกาย ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของระบบภูมิคุ้มกัน
- AIDS (Acquired Immunodeficiency Syndrome) คือ “ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องระยะสุดท้าย” ที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายติดเชื้อ HIV มานานโดยไม่ได้รับการรักษา
🔹 “HIV” คือไวรัส
🔹 “AIDS” คือผลลัพธ์ของการติดเชื้อที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง
HIV: ไวรัสที่ควบคุมได้ ไม่ใช่จุดจบของชีวิต
เมื่อร่างกายได้รับเชื้อ HIV ไวรัสจะเข้าสู่เซลล์เม็ดเลือดขาว และค่อยๆ ทำลายระบบภูมิคุ้มกันลง แต่ในปัจจุบันการรักษาด้วย ยาต้านไวรัส
- กดระดับไวรัสในเลือดให้ต่ำจนตรวจไม่พบ
- ฟื้นฟูระดับภูมิคุ้มกันให้กลับมาแข็งแรง
- ลดโอกาสแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้จนแทบเป็นศูนย์
ดังนั้น ผู้ติดเชื้อ HIV ที่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง สามารถมีชีวิตยืนยาวและใช้ชีวิตได้เหมือนคนทั่วไป
AIDS: ระยะที่ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอจนติดเชื้อได้ง่าย
หากร่างกายติดเชื้อ HIV แต่ไม่ได้รับการรักษาเป็นเวลานานจนภูมิคุ้มกันทำงานไม่ได้เต็มที่ เมื่อถึงจุดนี้ร่างกายจะเริ่มติดเชื้อได้ง่าย เช่น
- วัณโรค
- ปอดอักเสบจากเชื้อรา
- เริมที่ลุกลาม
- มะเร็งบางชนิดที่สัมพันธ์กับภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
สรุปความแตกต่างระหว่าง HIV และ AIDS
หัวข้อ | HIV | AIDS |
ความหมาย | ไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกัน | ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องขั้นรุนแรง |
สาเหตุ | การติดเชื้อไวรัส HIV | การติดเชื้อ HIV ที่ไม่ได้รับการรักษานาน |
อาการ | ส่วนใหญ่ไม่มีอาการในระยะแรก | มีอาการจากการติดเชื้อฉวยโอกาส |
การรักษา | รักษาและควบคุมด้วยยาต้านไวรัสได้ | ต้องรักษาภาวะแทรกซ้อนร่วมกับยาต้านไวรัส |
โอกาสฟื้นตัว | ควบคุมได้ดีหากรักษาต่อเนื่อง | ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด |
รู้ให้เร็ว รักษาให้ไว ชีวิตที่ปกติได้
องค์การอนามัยโลก (WHO) ยืนยันว่า การเริ่มยาต้านไวรัสทันทีหลังตรวจพบเชื้อ HIV เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการยืดอายุและป้องกันการเข้าสู่ระยะเอดส์
“การตรวจเร็วไม่ใช่การตัดสินใจที่น่ากลัว แต่คือการให้โอกาสตนเองได้มีชีวิตที่ปกติและแข็งแรง”